วันอาทิตย์ที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2554

หลักการจัดการศึกษาปฐมวัย

หลักการจัดการศึกษาปฐมวัย

                ในเรื่องการเตรียมความพร้อมนี้ในแง่ของเหตุผลหรือทางตรรกวิทยา  การที่มนุษย์จะประกอบกิจกรรมอะไรก็ตาม  การเตรียมตัวให้พร้อมก่อนที่จะเริ่มกิจกรรมนั้น    นับว่าเป็นการเตรียมตัวสำคัญที่จะทำให้งานนั้น    เป็นผลสำเร็จด้วยดี  ดังคำโบราณที่ว่า  การเตรียมตัวที่ดีนับว่าประสบความสำเร็จไปแล้วครึ่งหนึ่ง  ดังนี้เพื่อให้เด็กมีความพร้อมที่จะเข้าเรียนในระดับประถมศึกษา  เด็กจำเป็นจะต้องได้รับการพัฒนาสุขภาพของร่างกาย  พัฒนาการใช้กล้ามเนื้อเล็ก  กล้ามเนื้อใหญ่  พัฒนาสติปัญญา  อารมณ์จิตใจ สังคม  และภาษาในโรงเรียนอนุบาล  ชั้นเด็กเล็กหรือในศูนย์พัฒนาเด็กอย่างน้องหนึ่งปี  (Smith,  2004)  ตามข้อคิดเห็นอันนี้  เด็กจะต้องเตรียมความพร้อมอย่างน้อยหนึ่งปี  ดังนั้นก่อนที่จะเข้าเรียนในชั้นประถมศึกษา  เด็กควรจะได้มีการเตรียมความพร้อมให้มีการพัฒนาด้านต่าง   

หลักการและจัดการศึกษาระดับอนุบาลศึกษา
                ขอบข่ายของหลักการจัดการศึกษาระดับอนุบาลในประเทศไทย  มีดังนี้  (สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน  ,  2546)
                1.  ยึดปรัชญาการศึกษาระดับปฐมวัยเป็นหลัก
                                ปรัชญาการศึกษาระดับปฐมวัยคือ  การศึกษาปฐมวัยเป็นการพัฒนาเด็กตั้งแต่แรกเกิดถึงอายุห้าปี  (หมายถึง  5  ปี  11  เดือน  29  วัน)  บนพื้นฐานการอบรมเลี้ยงดู  และการส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้ที่สนองต่อธรรมชาติ  และพัฒนาการของเด็กแต่ละคน  ตามศักยภาพภาย  ใต้บริบทสังคม  วัฒนธรรมที่เด็กอาศัยอยู่ด้วยความรัก  ความเอื้ออาทร  และความเข้าใจของทุกคน  เพื่อสร้างรากฐานคุณภาพชีวิตให้เด็กพัฒนาไปสู่ความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์  เกิดคุณค่าต่อตนเองและสังคม
                2.  เป็นหลักสูตรที่มุ่งเน้นการพัฒนาเด็ก  โดยองค์รวม  คือ  เด็กได้รับการพัฒนาทุกด้านทั้งด้านร่างกาย  อารมณ์  จิตใจ  สังคม  และสติปัญญา  โดยผ่านกิจกรรมการเล่น  และโดยอยู่บนพื้นฐานของประสบการณ์เดิมที่เด็กมีอยู่  ประสบการณ์ใหม่  ที่เด็กจะได้รับต้องมีความหมายกับตัวเด็ก  เป็นหลักสูตร    ที่ให้โอกาสทั้งเด็กปกติ  เด็กด้อยโอกาสและเด็กพิเศษได้พัฒนา  รวมทั้งยอมรับในวัฒนธรรมและภาษาความแตกต่างระหว่างบุคคลของเด็ก    การพัฒนาเด็กให้รู้สึกเป็นสุขในปัจจุบัน  มีเจตคติที่ดีต่อการเรียนต่าง    และเพื่อเตรียมเด็กสำหรับอนาคตข้างหน้า
                3.  การสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ของเด็ก  ทั้งภายในและภายนอกห้องเรียนจะต้องจัดสภาพแวดล้อมให้เด็กอยู่ในที่ที่สะอาด  ปลอดภัย  อากาศสดชื่นผ่อนคลาย  ไม่เครียด  มีโอกาสออกกำลังกายและพักผ่อน  มีสื่ออุปกรณ์  มีของเล่นที่หลากหลาย  เหมาะสมกับวัย  ให้เด็กมีโอกาสเลือกเล่น  เรียนรู้เกี่ยวกับตนเองและโลกที่เด็กอยู่  รวมทั้งพัฒนาการอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมทำให้บุคคลในสังคมเห็นความสำคัญของการอบรมเลี้ยงดู  และให้การศึกษากับเด็กปฐมวัย
                4.  การจัดกิจกรรมที่ส่งเสริมพัฒนาการทุกด้าน  และการเรียนรู้ของเด็ก  การจัดกิจกรรมให้เน้นความสำคัญที่เด็ก  (Child  Centered  Approach)  กิจกรรมจะต้องเหมาะสมกับวัย  และสอดคล้องกับจิตวิทยาพัฒนาการของเด็ก  ควรจัดกิจกรรมที่จะให้โอกาสแก่เด็ก  ได้พัฒนาความสามารถของตน  ครูผู้สอนเปลี่ยนบทบาทจากการสั่งให้เด็กทำ  มาเป็นผู้อำนวยความสะดวก  ครูผู้สอนจะเป็นผู้สนับสนุนชี้แนะและเรียนรู้ร่วมกับเด็ก  ส่วนเด็กเป็นผู้ลงมือกระทำ  เรียนรู้  และค้นพบด้วยตนเอง  ดังนั้นครูผู้สอนจะต้องยอมรับเห็นคุณค่า รู้จักและเข้าใจเด็กแต่ละคน  ที่ตนดูแลรับผิดชอบก่อน  โดยคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล   เพื่อจะได้วางแผนสร้างสภาพแวดล้อม  และจัดกิจกรรมต่าง    ให้เหมาะสมกับวัยและความแตกต่างของเด็ก  โดยถือว่าการเล่นอย่างมีจุดหมายเป็นหัวใจสำคัญของการจัดประสบการณ์และกิจกรรมให้แก่เด็ก
                5.  การบูรณาการการเรียนรู้  การบูรณาการ  เป็นการจัดกิจกรรมที่กิจกรรมหนึ่ง    เด็กเรียนรู้ได้หลายทักษะและหลายประสบการณ์สำคัญ  หรือหนึ่งแนวคิดเด็กเรียนรู้ได้หลายกิจกรรม  จึงเป็นหน้าที่ของผู้สอนที่จะต้องวางแผนการจัดประสบการณ์  ในแต่ละวัน  ให้เด็กเรียนรู้โดยผ่านการเล่นที่หลากหลายกิจกรรม  หลากหลายทักษะ  หลากหลายประสบการณ์สำคัญ  อย่างเหมาะสมกับวัยและพัฒนาการ  เพื่อให้บรรลุจุดหมายของหลักสูตรที่กำหนดไว้
                6.  การประเมินพัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็ก  การประเมินในระดับปฐมวัยยึดวิธีการสังเกตเป็นส่วนใหญ่  ครูผู้สอนจะต้องสังเกต  และประเมินทั้งการสอนของตน  และพัฒนาการการเรียนรู้ของเด็กว่า  ได้บรรลุจุดประสงค์  และเป้าหมายที่วางไว้หรือไม่  รวมทั้งข้อมูลจากครอบครัวของเด็ก  และตลอดจนผลงานของเด็ก  จะบอกถึงการเรียนรู้ของเด็กว่ามีความก้าวหน้าเพียงใด  มีพัฒนาการด้านต่าง    อย่างไร  การประเมินพัฒนาการจะช่วยครูผู้สอนในการวางแผนจัดกิจกรรม  ชี้ให้เห็นความต้องการพิเศษของเด็กแต่ละคน  ใช้เป็นข้อมูลในการสื่อสารกับพ่อแม่หรือผู้ปกครองของเด็ก  และยังใช้ในการประเมินประสิทธิภาพในการจัดการศึกษาให้แก่เด็กดังกล่าว  เมื่อพบเด็กที่มีพัฒนาล่าช้า  ครูควรจัดกิจกรรมให้เหมาะสมกับความสามารถของเด็กนั้น    และให้ความรัก  ความเอาใจใส่  และให้คำชมเชยเมื่อเด็กพัฒนาดีขึ้น
                7.  ความสัมพันธ์ระหว่างครูผู้สอนกับครอบครัวของเด็ก  ครูผู้สอน  พ่อแม่และผู้ปกครองของเด็ก  จะต้องมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลทำความเข้าใจพัฒนาการ  และการเรียนรู้ของเด็ก  ต้องยอมรับและร่วมมือกันรับผิดชอบ  ถือเป็นหุ้นส่วน  ที่จะต้องช่วยกันพัฒนาเด็ก  ให้บรรลุเป้าหมายที่ต้องการร่วมกันซึ่งจะต้องให้พ่อแม่ผู้ปกครองมีส่วนร่วมในการพัฒนาเด็กด้วย
                8.  การเรียนการสอนที่เหมาะสมสำหรับเด็กอนุบาล  ควรยึดเด็กเป็นศูนย์กลางสำคัญของการเรียนรู้ที่คำนึงถึงความสนใจ  และความสามารถของเด็ก  ให้เด็กมีโอกาสเลือกกิจกรรมด้วยตนเอง  เรียนโดยใช้ประสบการณ์ตรงและทดลองโดยที่เด็กเป็นผู้สังเกต  และให้คำแนะนำ  (สำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ,  2541)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น